ฟุตบอล ยูโร 2024
รอบคัดเลือก กลุ่ม ซี
คืนวันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2566
อังกฤษ 3-1 อิตาลี
สนาม : เวมบลีย์
ผู้ตัดสิน : เกลม็อง ตูร์แป็ง
คนละทีมเดียวกัน
แสดงออกชัดมากว่าเกมกับ ออสเตรเลีย ที่ อังกฤษ เบียดชนะได้ 1-0 สัปดาห์ก่อน เป็นเกม “ลองของ” ให้บรรดาตัวสำรองได้ยืดเส้นยืดสาย เพราะเมื่อมาถึงเกมสำคัญกับ อิตาลี นัดนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็เปลี่ยน 11 คนแรกแบบยกแผง ไม่มีชื่อซ้ำทั้ง 11 คน โดยถือเป็นกลุ่ม “ตัวจริง” เต็มอัตรา
นายประตู จอร์แดน พิคฟอร์ด ลงเฝ้าเสาตามระเบียบ
หลังบ้าน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็กลับมาจับคู่ จอห์น สโตนส์ โดยแบ็กขวาให้เป็น ไคล์ วอล์คเกอร์ และแบ็กซ้ายโยก คีแรน ทริปเปียร์ มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อทั้ง เบน ชิลเวลล์ และ ลุค ชอว์ ต่างก็บาดเจ็บ
แดนกลาง นำโดย ดีแคลน ไรซ์ ตามปกติ ขณะที่คู่ขา แม้จะออกงงๆ หน่อยที่ แคลวิน ฟิลลิปส์ (สำรองถาวรของ แมนฯ ซิตี้) โผล่ลงตัวจริงเฉย แต่ครั้นจะให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มาจับคู่ ไรซ์ เลยก็อาจจะเขินๆ ไปนิด
สำหรับเกมรุก จู๊ด เบลลิงแฮม อยู่ตรงกลาง มาร์คัส แรชฟอร์ด ขึ้นทางซ้าย ฟิล โฟเด้น เป็นตัวฟรีที่ฝั่งขวา และมี แฮร์รี่ เคน ค้ำหน้าเป้า
ถ้าไม่นับแบ็กซ้ายที่จะต้องเปลี่ยนแน่ๆ ก็ถือว่า 11 คนแรกของ อังกฤษ ชุดลุย ยูโร 2024 จะมีหน้าตาประมาณนี้แหละ ระบบ 4-2-3-1 ถ้ามีใครแทรกลงเพิ่มเติม ก็คือ บูกาโย่ ซาก้า หรือ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เท่านั้น
อิตาลี กับการบ้านกองโต
ฝั่ง อิตาลี ยักษ์ใหญ่ที่กล้าๆ ตกรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกัน (แต่เป็นแชมป์ยูโร 2020 นะ) เพิ่งมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้น คือ โรแบร์โต้ มันชินี่ ลาออกไปรับงานคุม ซาอุดีอาระเบีย และ เอฟไอจีซี คว้าตัว ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ โค้ชมือเก๋าวัย 64 ผู้พา นาโปลี คว้าสคูเด็ตโต้ซีซั่นก่อน มาทำทีมแทนด้วยสัญญา 3 ปี
เกมนี้ เพิ่งเป็นนัดที่ 4 ของ สปัลเล็ตติ เท่านั้นในฐานะกุนซืออัซซูร์รี่ หลังจากก่อนนี้ ชนะ 2 เสมอ 1 ในคิวคัดเลือก ยูโร 2024 นี่เอง
โชคไม่ดีสำหรับ สปัลเล็ตติ เท่าไหร่ เมื่ออันที่จริง ทีมของเขาควรมี “ทีเด็ด” มากกว่านี้ อย่างน้อยก็ 3 ราย — เฟเดริโก้ เคียซ่า, นิโกโล่ ซานิโอโล่ และ ซานโตร โตนาลี่
แต่รายแรกบาดเจ็บ และ 2 รายหลังโดนคัดออก ข้อหาพัวพันเรื่องการพนัน
เมื่อไม่มี 3 แข้งข้างต้น และ จอร์จินโญ่, มาเตโอ เรเตกี, มาร์โก แวร์รัตติ, เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ ไม่ถูกเรียกตัว โฉมหน้าของ 11 คนแรกเกมนี้ของ สปัลเล็ตติ จึงไม่ได้ต่างไปจากยุค มันชินี่ มากนัก
จานลุยจิ ดอนนารุมม่า, เดสตินี่ อูโดจี้, ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้, จอร์โจ้ สคัลวินี่, โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, นิโกโล่ บาเรลล่า, ไบรอัน คริสตันเต้, ดาวิเด้ ฟรัตเตซี่, สเตฟาน เอล ชาราวี, จานลูก้า สคามัคก้า, โดเมนิโก้ เบราร์ดี้
ชัดเจนว่าชื่อชั้นขุนพลชุดนี้ ขู่ใครเขาลำบาก ซึ่งก็คงเป็นการบ้านที่ สปัลเล็ตติ ต้องนั่งคิดนอนคิดอีกนานเลยว่า จะทำให้ อิตาลี กลับไปแข็งแกร่งน่ากลัวอีกครั้ง ได้อย่างไร
เกมแบบนี้ที่ อังกฤษ ต้องการ
ไม่ได้บอกว่าเกมกับ จอร์เจีย-เอ๊ย-ออสเตรเลีย ไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยก็เป็นโอกาสให้ เซาธ์เกต ได้ทดสอบบรรดาแข้งสำรอง ที่ไม่ค่อยมีโอกาสฉายแสงในรับชาติมากนัก
แต่การเจอกับ “ของแข็ง” อย่าง อิตาลี นี่แหละคือเกมแบบที่ อังกฤษ ควรใช้เพื่อสร้างความคุ้นเคย และเสริมสร้างกระดูกให้กับบรรดานักเตะของตัวเอง
อิตาลี, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส, สเปน ไปจนถึงแชมป์โลก อาร์เจนติน่า และ บราซิล เหล่านี้ควรเป็น “แขกรับเชิญ” ของ อังกฤษ อย่างสม่ำเสมอ ปีละ 3-4 ครั้ง มากกว่าจะต้องไปรอเจอในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ (และแพ้ตกรอบ) อย่างเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบคัดเลือกหนนี้ ที่ อังกฤษ การันตีเข้ารอบสุดท้ายได้ตั้งแต่ยังเหลือคิวเตะอีก 2 นัด (เดือนหน้า เตะกับ มอลต้า และ มาซิโดเนียเหนือ แบบไร้ความหมาย) เป็นการย้ำว่า ระดับของพวกเขามันเหนือกว่าทีมเกรด B ลงไป อยู่แล้ว
และการจะทำให้ต่อกรกับคู่แข่ง A+ อย่างคู่คี่สูสีได้ ก็คือต้องเพิ่มเติมประสบการณ์เกม A+ ให้มากขึ้นกว่าที่เป็น เท่านั้น
แนวรุกวันนี้ จัดว่าแจ่ม
สำหรับชัยชนะเหนือ อิตาลี 3-1 แบบโดนยิงนำก่อน บอกว่าปัญหาในเกมรับสิงโตคำรามยังพอมี แต่ก็พอเข้าใจได้แหละว่าวันนี้ แบ็กซ้ายเป็นตัวขัดตาทัพ (ทริปเปียร์) แถมแดนกลางยังไม่เข้าที่เข้าทาง ด้วยลูกรักอย่าง แคลวิน ฟิลลิปส์ ที่จังหวะจะโคนไม่ได้ หลังนั่งสำรองตลอดศกกับ แมนฯ ซิตี้
สำคัญสุดคือ ความแพรวพราวในเกมรุก อังกฤษ วันนี้ ดีพอจะกลบปัญหาเกมรับไปได้แบบเหลือๆ
ฟิล โฟเด้น พากองหลังอิตาลีออกทัวร์ทุกครั้งที่มีโอกาสกระชากลากเลื้อย
มาร์คัส แรชฟอร์ด “กดสูตรติด” ล็อกตัดจากซ้ายเข้าในมาส่องด้วยขวา เสียบเสาแบบที่ ดอนนารุมม่า ได้แค่เอี้ยวตัวมอง
แฮร์รี่ เคน กดจุดโทษอย่างมั่นใจ และ “กระชากหาย” พาบอลฝ่ากองหลังเลี่ยนเข้าไปส่องลูกปิดท้าย 3-1 เป็นประตูที่ 61 แล้วในการรับใช้ชาติ
ด้าน จู๊ด เบลลิงแฮม แม้ไม่มียิงแต่ทำ 1 แอสซิสต์ (บวก 1 เรียกจุดโทษ) จัดเป็นฟอร์มระดับแมนออฟเดอะแมตช์ในหลายสำนัก
เมื่ออังกฤษมีนักเตะ “ดีที่สุดในโลก”
หลายๆ นักวิจารณ์หรือบรรดาอดีตดาวเตะ เริ่มประสานเสียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า เมื่อหมดยุคสมัยของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ & ลิโอเนล เมสซี่ ที่ตอนนี้กระจายกันออกนอกยุโรปไปแล้ว คนที่เข้าใกล้วันพีซมากที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือ จู๊ด เบลลิงแฮม
เบลลิงแฮม (20), วินิซิอุส จูเนียร์ (23), คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (24), เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ (23)
ต่อจากรางวัลนักเตะแห่งปี บุนเดสลีกา 2022/23 แล้ว อย่างที่ทราบว่า เบลลิงแฮม กำลังวาดลวดลายอย่างเกรี้ยวกราดในสเปน ด้วยสถิติ 10 นัด 10 ประตู
ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับ เรอัล มาดริด ยังต่อเนื่องมาถึง อังกฤษ ที่ชัดเจนว่าหลังบ้าน อิตาลี เอา เบลลิงแฮม ไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง
- 1-1 เบลลิงแฮม ลุยเข้าไปโดน โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ เสียบล้ม เป็นจุดโทษ
2-1 เบลลิงแฮม พาขึ้นเองจากตรงกลาง ก่อนเคาะออกซ้ายให้ แรชฟอร์ด ลากมายิงเสียบเสา
3-1 เบลลิงแฮม …ไม่ได้ทำอะไร รอเฮเฉยๆ
สำหรับสถิติพังตาข่ายในทีมชาติ เบลลิงแฮม อาจยังไม่โดดเด่น ด้วยเพิ่งซัดไปแค่ 2 ลูกจาก 27 นัด
แต่ให้ขยี้ตาอีกทีก็ได้… เบลลิงแฮม เพิ่งอายุ 20 ยังมีเวลารับใช้ชาติอีกร่วม 20 ปี!
อังกฤษ มีดีอะไร?
และจากเกมนี้เอง คงเป็นการไขคำตอบว่า อังกฤษ ชุดนี้ “มีดีอะไร” ก็คือดีที่เกมรุก นักเตะคุณภาพสูงจากทีมระดับโลกมารวมตัวกัน
- เรอัล มาดริด – จู๊ด เบลลิงแฮม
บาเยิร์น มิวนิค – แฮร์รี่ เคน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – ฟิล โฟเด้น, แจ๊ค กรีลิช
อาร์เซน่อล – บูกาโย่ ซาก้า
สเปอร์ส – เจมส์ แมดดิสัน
(ส่วน เชลซี – ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ชุดนี้ไม่มา แต่ก็คงกลับมาโอกาสหน้า)
ชื่อที่ว่ามา ถ้าเข้าฝักเข้าฟอร์มพร้อมกันทุกคน ก็คงพร้อมเล่นงานทุกทีมในโลก
ที่ต้องลุ้นหนักกว่าใคร คงไม่พ้นคุณพี่ตัวแทนเดียวจาก แมนฯ ยูไนเต็ด นั่นแหละ…วันไหนลงล็อกก็ดีไป แต่วันไหน “ฟุตบอลชายเดี่ยว” ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไม่คลิก ก็ลำบากหน่อย (ฮา…)